เมฆ (cloud)
1. เมฆและการเกิดเมฆ
เมฆ คือ น้ำในอากาศเบื้องสูงที่อยู่ในสถานะเป็นหยดน้ำและผลึกน้ำแข็ง และอาจมีอนุภาคของของแข็งที่อยู่ในรูปของควันและฝุ่นที่แขวนลอยอยู่ในอากาศรวมอยู่ด้ว
2. ชนิดของเมฆ การสังเกตชนิดของเมฆ กลุ่มคำที่ใช้บรรยายลักษณะของเมฆชนิดต่างๆ มีอยู่ 5 กลุ่มคำ คือ เซอร์โร(CIRRO) เมฆระดับสูง
อัลโต(ALTO) เมฆระดับกลาง
คิวมูลัส(CUMULUS) เมฆเป็นก้อนกระจุก
สเตรตัส(STRATUS) เมฆเป็นชั้นๆ
นิมบัส(NUMBUS) เมฆที่ก่อให้เกิดฝน
เมฆ คือ น้ำในอากาศเบื้องสูงที่อยู่ในสถานะเป็นหยดน้ำและผลึกน้ำแข็ง และอาจมีอนุภาคของของแข็งที่อยู่ในรูปของควันและฝุ่นที่แขวนลอยอยู่ในอากาศรวมอยู่ด้ว
2. ชนิดของเมฆ การสังเกตชนิดของเมฆ กลุ่มคำที่ใช้บรรยายลักษณะของเมฆชนิดต่างๆ มีอยู่ 5 กลุ่มคำ คือ เซอร์โร(CIRRO) เมฆระดับสูง
อัลโต(ALTO) เมฆระดับกลาง
คิวมูลัส(CUMULUS) เมฆเป็นก้อนกระจุก
สเตรตัส(STRATUS) เมฆเป็นชั้นๆ
นิมบัส(NUMBUS) เมฆที่ก่อให้เกิดฝน
นักอุตุนิยมวิทยาแบ่งเมฆออกเป็น 4 ประเภท คือ
1.เมฆระดับสูง เป็นเมฆที่พบในระดับความสูง 6,500 เมตรขึ้นไป ประกอบด้วยผลึกน้ำแข็งเป็นส่วนใหญ่ มี 3 ชนิด ได้แก่ เซอร์โรคิวมูลัส เซอร์รัส เซอร์โรสเตรตัส
1.เมฆระดับสูง เป็นเมฆที่พบในระดับความสูง 6,500 เมตรขึ้นไป ประกอบด้วยผลึกน้ำแข็งเป็นส่วนใหญ่ มี 3 ชนิด ได้แก่ เซอร์โรคิวมูลัส เซอร์รัส เซอร์โรสเตรตัส
เมฆคิวมูลัส เมฆเซอรัส
2. เมฆระดับกลาง ได้แก่ อัลโตสเตรตัส อัลโตคิวมูลัส
3. เมฆระดับต่ำ ได้แก่ สเตรตัส สเตรโตคิวมูลัส นิมโบสเตรตัส
4. เมฆซึ่งก่อตัวในทางแนวตั้ง ได้แก่ คิวมูลัส คิวมูโลนิมบัส
3. เมฆระดับต่ำ ได้แก่ สเตรตัส สเตรโตคิวมูลัส นิมโบสเตรตัส
4. เมฆซึ่งก่อตัวในทางแนวตั้ง ได้แก่ คิวมูลัส คิวมูโลนิมบัส
ลม (Wind) คือ มวลของอากาศที่เคลื่อนที่ไปตามแนวราบ
- สภาพอากาศเหนือพื้นดินและพื้นน้ำ พื้นดินและพื้นน้ำรับและคายความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้ไม่เท่ากันพื้นดินจะรับและคายความร้อนได้ดีกว่าพื้นน้ำ ในเวลากลางวันอุณหภูมิของพื้นดินจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว พื้นน้ำจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างช้าๆ ทำให้อากาศเหนือพื้นดินมีอุณหภูมิสูงกว่าอากาศเหนือพื้นน้ำ ส่วนในเวลากลางคืนพื้นดินคายความร้อนได้เร็วกว่าพื้นน้ำ ทำให้อากาศเหนือพื้นดินมีอุณหภูมิต่ำกว่าอากาศเหนือพื้นน้ำ ทำให้เกิดลมขึ้น
- การเกิดลม สาเหตุเกิดลม คือ
- สภาพอากาศเหนือพื้นดินและพื้นน้ำ พื้นดินและพื้นน้ำรับและคายความร้อนจากดวงอาทิตย์ได้ไม่เท่ากันพื้นดินจะรับและคายความร้อนได้ดีกว่าพื้นน้ำ ในเวลากลางวันอุณหภูมิของพื้นดินจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว พื้นน้ำจะมีอุณหภูมิสูงขึ้นอย่างช้าๆ ทำให้อากาศเหนือพื้นดินมีอุณหภูมิสูงกว่าอากาศเหนือพื้นน้ำ ส่วนในเวลากลางคืนพื้นดินคายความร้อนได้เร็วกว่าพื้นน้ำ ทำให้อากาศเหนือพื้นดินมีอุณหภูมิต่ำกว่าอากาศเหนือพื้นน้ำ ทำให้เกิดลมขึ้น
- การเกิดลม สาเหตุเกิดลม คือ
1. ความแตกต่างของอุณหภูมิ
2. ความแตกต่างของหย่อมความกดอากาศ
หย่อมความกดอากาศ(Pressure areas) -หย่อมความกดอากาศสูง หมายถึง บริเวณที่มีความกดอากาศสูงกว่าบริเวณข้างเคียง ใช้ตัวอักษร H -หย่อมความกดอากาศต่ำ หมายถึง บริเวณที่มีความกดอากาศต่ำกว่าบริเวณข้างเคียง ใช้ตัวอักษร L
แผนที่อากาศ
ชนิดของลม ลมแบ่งออกเป็นชนิดต่างๆ คือ - ลมประจำปีหรือลมประจำภูมิภาค เช่น ลมสินค้า
- ลมประจำฤดู เช่น ลมมรสุมฤดูร้อน และลมมรสุมฤดูหนาว
- ลมประจำเวลา เช่น ลมบก ลมทะเล
- ลมที่เกิดจากการแปรปรวนหรือลมพายุ เช่น พายุฝนฟ้าคะนอง พายุหมุนเขตร้อน
นักอุตุนิยมวิทยาได้กำหนดการเรียกชื่อประเภทของพายุหมุน โดยใช้ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางเป็นเกณฑ์ ดังนี้
1. พายุดีเปรสชั่น มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางไม่เกิน 63 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีผลทำให้เกิดฝนตกหนักทั่วไปในบริเวณที่มีความชื้น
2. พายุโซนร้อน มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางไม่เกิน 63 ถึง 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีกำลังแรงกว่าพายุดีเปรสชั่น
3. พายุใต้ฝุ่น มีความเร็วลมสูงสุดใกล้จุดศูนย์กลางมากกว่า 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุมีกำลังแรงและอันตรายมาก และมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันตามบริเวณที่เกิดขึ้น
ชนิดของลม ลมแบ่งออกเป็นชนิดต่างๆ คือ - ลมประจำปีหรือลมประจำภูมิภาค เช่น ลมสินค้า
- ลมประจำฤดู เช่น ลมมรสุมฤดูร้อน และลมมรสุมฤดูหนาว
- ลมประจำเวลา เช่น ลมบก ลมทะเล
- ลมที่เกิดจากการแปรปรวนหรือลมพายุ เช่น พายุฝนฟ้าคะนอง พายุหมุนเขตร้อน
นักอุตุนิยมวิทยาได้กำหนดการเรียกชื่อประเภทของพายุหมุน โดยใช้ความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางเป็นเกณฑ์ ดังนี้
1. พายุดีเปรสชั่น มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางไม่เกิน 63 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีผลทำให้เกิดฝนตกหนักทั่วไปในบริเวณที่มีความชื้น
2. พายุโซนร้อน มีความเร็วลมสูงสุดใกล้ศูนย์กลางไม่เกิน 63 ถึง 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มีกำลังแรงกว่าพายุดีเปรสชั่น
3. พายุใต้ฝุ่น มีความเร็วลมสูงสุดใกล้จุดศูนย์กลางมากกว่า 118 กิโลเมตรต่อชั่วโมง พายุมีกำลังแรงและอันตรายมาก และมีชื่อเรียกต่าง ๆ กันตามบริเวณที่เกิดขึ้น